สาวไฮโซร้อง “บิ๊กก้อง” เอาผิดพนักงานสอบสวนกองปราบฯเข้าข่าย 157 เป่าสำนวนตุ๋น 25 ล้าน สั่งไม่ฟ้อง “อดีตผู้ช่วยเลขาฯรองปธ.สภา”
นักธุรกิจสาวไฮโซร้อง “ผบช.ก.” หลังพนักงานสอบสวนกองปราบปรามเป่าสำนวน “สั่งไม่ฟ้อง” อดีตผช.เลขาฯรองประธานสภา คดีตุ๋นเงิน 25 ล้าน อ้างไร้สัญญา ทั้งที่มีหลักฐานหลายอย่างแต่ถูกตัดออกจากสำนวน หนำซ้ำยังนำอดีตลูกจ้างโกงบริษัท 50 ล้าน เป็นพยานชี้ตำรวจควรดูประวัติจอมลวงโลกเคยติดคุกคดีปล้นทรัพย์และยังมีคดีติดตัวเป็นหางว่าว
จากกรณีที่ น.ส.ช่อฉัตร โตชูวงศ์ นักธุรกิจสาวไฮโซถูกอดีตผู้ช่วยเลขาฯ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร หลอกตุ๋นเรียกเงิน 25 ล้านบาท โดยอ้างว่าเป็นผู้ประสานให้มีการยกเลิกออกใบรับรองมาตรฐานวัสดุน้ำยางพาราผสมสารเพิ่มของเอกชนกลุ่มหนึ่งที่ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีลักษณะผูกขาด เอกชนรายใดต้องการเข้าร่วมประมูลงานก่อสร้างถนนยางของรัฐบาลจะต้องซื้อน้ำยางพาราผสมสารฯ กับเอกชนกลุ่มนี้เท่านั้น ซึ่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่งผลให้บริษัทสาวไฮโซไม่สามารถเข้าร่วมขายน้ำยางพาราผสมสารฯ ได้ และพนักงานสอบสวนส่งสำนวนสั่งไม่ฟ้องให้อัยการพิจารณาแล้วนั้น
ความคืบหน้าล่าสุด ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เมื่อวันที่ 3 ก.พ.66 น.ส.ช่อฉัตร โตชูวงศ์ ผู้บริหารบริษัท เอส.พี.ก่อสร้างรุ่งเรือง จำกัด ที่ถูกหลอกเงินจำนวน 25 ล้านบาท ได้เดินทางมาร้องเรียนขอความเป็นธรรมกับ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) พร้อมเปิดเผยว่า ตนไม่ได้รับความเป็นธรรมจากพนักงานสอบสวนในการทำสำนวนคดี เนื่องจากพนักงานสอบสวนเร่งรีบปิดสำนวนไม่รับพยานหลักฐานสำคัญ กรณี พ.ต.ท.ชลิต ทิพย์ธำรง รองผกก.(สอบสวน) กก.1 บก.ป. ระบุได้สอบปากคำพยานของทั้งสองฝ่ายและตรวจสอบเอกสารที่เกี่ยวข้อง พบว่าคดีนี้มีความก้ำกึ่งในเรื่องของข้อเท็จจริงทางคดี จึงมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องในข้อหาฉ้อโกงทรัพย์ในชั้นพนักงานสอบสวน
“ทั้งที่พยานหลักฐานที่มีน้ำหนักแสดงให้เห็นว่าผู้ถูกกล่าวหามีพฤติการณ์เจตนาฉ้อโกงทำเป็นขบวนการแต่ถูกตัดออกจากสำนวน เช่น หลักฐานที่อดีตผู้ช่วยเลขาฯรองประธานสภา นัดเคลียร์นำเงินมาคืน และมีการผัดผ่อนเป็นระยะเพื่อให้หมดอายุความ พนักงานสอบสวนก็ไม่รับไว้พิจารณา หากทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาก็ควรพิจารณาเพราะประวัติผู้ที่ถูกกล่าวหามีคดีเป็นหางว่าว ถูกศาลตัดสินติดคุกในข้อหาปล้นทรัพย์มาแล้ว และยังถูกร้องอีกหลายคดี”
น.ส.ช่อฉัตร กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาพนักงานสอบสวนเร่งรีบสรุปสำนวน หนำซ้ำยังนำพยานบุคคล นางสาว ส. อดีตลูกจ้าง ที่ถูกดำเนินคดีลักทรัพย์ตนหลายครั้ง และแอบอ้างเอาชื่อบริษัทไปขาย มาเป็นพยานในสำนวน ซึ่งที่ผ่านมาตนได้แจ้งความดำเนินคดีและฟ้องเรียกค่าเสียหายอดีตลูกจ้างคนนี้จำนวน 50 ล้านบาท
นอกจากนี้ตนได้นำพยานหลักฐานต่างๆ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญกฎหมาย และผู้ใหญ่หลายท่าน ต่างเห็นว่า มีน้ำหนักน่าเชื่อถือว่า อดีตผู้ช่วยเลขาฯรองประธานสภา มีเจตนาฉ้อโกง ที่พนักงานสอบสวนอ้างว่าไม่มีสัญญาจ้าง 25 ล้านบาท จึงเป็นเหตุผลที่รับไม่ได้อย่างสิ้นเชิง เพราะหลักฐานที่ผู้ถูกกล่าวหานัดจะคืนเงินให้ย่อมแสดงให้เห็นชัดเจนแล้วว่าผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้ทำงานตามที่ตกลงกันไว้ รวมถึงยังมีการต่อรองขอลดจำนวนเงินที่จะคืนให้ตนอีกด้วย จึงมาร้องขอความเป็นธรรมกับท่านผบช.ก.ให้ทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้กระจ่างเหตุใดพนักงานสอบสวนถึงได้รีบเร่งปิดสำนวนและไม่ยอมรับเอกสารหลักฐานต่างๆของผู้เสียหายเข้าไปประกอบในสำนวนมีนัยอะไรหรือไม่หากข้อเท็จจริงไม่ปรากฎจะแจ้งข้อหาแก่พนักงานสอบสวนใน มาตรา 157
น.ส.ช่อฉัตร กล่าวยืนยันว่า ตนทำธุรกิจมามาหลายสิบปี มีประสบการณ์มากพอที่จะรู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก ที่ผ่านมาบริษัทฯมีนวัตกรรมในการทำน้ำยางพาราผสมสารฯ ที่พัฒนาต่อเนื่องเป็นลำดับ ขอให้ลูกค้าเชื่อมั่นในธุรกิจ ส่วนผู้แอบอ้างทำให้ลูกค้าของบริษัทฯ ตนเสียหาย เกิดความเข้าใจผิด ตนได้มอบหมายให้ทนายความดูว่าจะฟ้องดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
สำหรับประวัติอดีตผู้ช่วยรองประธานสภานั้น จากประวัติอาชญากรเคยปรากฏชื่อเป็นนักโทษในเรือนจำ ฐานความผิดปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธ ร่วมกันข่มขืนใจและหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่น ร่วมกันมีอาวุธปืน และพาติดตัวไป โดยเรือนจำที่รับตัว คือ เรือนจำกลางคลองเปรม รับตัวครั้งแรก ช่วงกลางปี 2551 เป็นนักโทษเด็ดขาด “ชั้นเยี่ยม” นอกจากนี้ ยังพบว่าในฐานข้อมูลทะเบียนประวัติอาชญากรรมพบว่ามีคดีอาญาเลขคดี 26/2561 ของ สน./สภ.นิคมคำสร้อย เลขคดี 39/2561 ของ สน./สภ.นิคมคำสร้อย และเลขคดี 700/2565 สน./สภ.บางคล้า ตัวการในข้อหายักยอกทรัพย์