27.1 C
Thailand
อังคาร, พฤษภาคม 27, 2025
spot_img

สปสช. เยี่ยมชมโครงการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมเชิงรุก รพ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทราโดยสสจ.ฉะเชิงเทราใช้โมเดลจัดหน่วยเคลื่อนที่ตระเวนตรวจสตรีกลุ่มเสี่ยง

เมื่อวันที่ 27 พ.ค. 2568 เภสัชกรคณิตศักดิ์ จันทราพิพัฒน์ ผู้ช่วยเลขาธิการ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) พร้อมผู้บริหาร สปสช. เขต 6 ระยอง ลงพื้นที่เยี่ยมชมการดำเนินโครงการคัดกรองสตรีไทยร่วมใจ ห่างไกลมะเร็งเต้านม ที่โรงพยาบาลบางคล้า อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นการดำเนินงานคัดกรองมะเร็งเต้านมเชิงรุก สสจ.ฉะเชิงเทรา ที่ใช้โมเดลจัดรถเอกซเรย์เต้านมเคลื่อนที่ในสตรีกลุ่มเสี่ยงด้วยเครื่องแมมโมแกรมและอัลตร้าซาวนด์ทั่วจังหวัด

โดยมี นพ.ศรีศักดิ์ ตั้งจิตธรรม นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดฉะเชิงเทรา นพ.ดิเรก ภาคกุล ผอ.รพ.บางคล้า พญ.ชัชชญา ปุณญาภัสส์ รองนายแพทย์สาธารณสุข Project Manager ให้การต้อนรับ

นพ.ศรีศักดิ์ ตั้งจิตธรรม นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดฉะเชิงเทรา กล่าวว่า ในพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา มีแนวโน้มจำนวนผู้ป่วยมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้น โดยในปี 2562-2564 มีอัตราอุบัติการณ์ของโรคมะเร็งเต้านมอยู่ที่ 27.5 ต่อแสนประชากร และมีอัตราการเสียชีวิตในปี 2561-2564 ประมาณ 15-17 รายต่อแสนประชากรซึ่งสูงกว่าอัตราการตายของประเทศในทุกปี ดังนั้น สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด(สสจ.)ฉะเชิงเทรา เห็นความสำคัญว่า การป้องกันมะเร็งเต้านมที่ดีที่สุด คือการค้นหาความผิดปกติของเต้านมให้เร็วที่สุด เพื่อโอกาสในการรักษาและการรอดชีวิต

นพ.สสจ.ฉะเชิงเทรา กล่าวต่อว่า มะเร็งเต้านม ถ้าพบในระยะเริ่มต้นผลการรักษาจะดี มีโอกาสรอดชีวิตสูง (The best protection is early detection) จึงได้ของบประมาณจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) เขต 6 ระยอง ซึ่งเป็นงบบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคที่เป็นปัญหาพื้นที่ระดับเขตหรือจังหวัด (P&P Area based; PPA) จัดทำโครงการดังกล่าวตั้งแต่ปี 2567 เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงบริการ ลดปัญหาระยะเวลารอคอยในการเข้ารับการตรวจคัดกรองและการวินิจฉัยเบื้องต้น

เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจพบมะเร็งเต้านมตั้งแต่ระยะเริ่มแรก ซึ่งมีผลทำให้การรักษาและการหายขาดจากโรคมีโอกาสสูงขึ้น ลดอัตราการเสียชีวิต และเพิ่มอัตราการรอดชีวิตมากกว่า 5 ปี และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นต่อไปในอนาคต โดยร่วมมือกับภาคีเครือข่ายจัดหน่วยเคลื่อนที่ mobile breast cancer screening unit ด้วยเครื่องแมมโมแกรมและอัลตร้าซาวนด์เต้านมไปตามจุดนัดหมายชุมชนหรือ รพ.สต. ต่างๆ ในพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา

นพ.ศรีศักดิ์ สสจ.ฉะเชิงเทรา เล่าต่ออีกว่า ขณะเดียวกัน ทีม รพ.สต. และอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) จะทำการรณรงค์สตรีกลุ่มที่มีอายุเกิน 35 ปีขึ้นไป และสตรีที่มีประวัติในครอบครัวสายตรง เช่น แม่ ลูกสาว พี่สาว น้องสาว เป็นมะเร็งเต้านม พามาตรวจทั้งหมู่บ้าน เพื่อตรวจด้วยแมมโมแกรมและอัลตร้าซาวนด์ และถ้ามีความผิดปกติและค่าความเสี่ยงสูงกว่า 4 ก็จะส่งต่อไปยังโรงพยาบาลที่มีศักยภาพ เป็น “Node”รับส่งต่อ ปัจจุบันมีรพ.พุทธโสธร ,รพ.พนมสารคาม, รพ.บางปะกง และรพ.บางคล้า เพื่อผ่าตัดเอาตัวอย่างชิ้นเนื้อส่งห้องตรวจชิ้นเนื้อโดยทีมพยาธิวิทยาต่อไป

“เริ่มแรกที่เราเข้าไปทำในพื้นที่แบบเชิงรุก อ.บางคล้า โดยเราจะให้อสม.หรือสาธารณสุขในพื้นที่เข้าไปสำรวจหรือเคาะตามบ้านเพื่อค้นหาหรือทำบัญชี รวบรวมรายชื่อสตรีที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง จากนั้นนำรถเคลื่อนที่ฯเข้าไปตามจุดเพื่อตรวจคัดกรอง ซึ่งทำโดยทีมรังสีแพทย์หรือพยาธิวิทยา ที่ได้รับรองมาตรฐานทางการแพทย์เป็นผู้ดำเนินงานต่อ”นพ.ศรีศักดิ์ กล่าวและว่า หากพบว่าสตรีคนไหนมีความผิดปกติหรือมีก้อนเนื้อที่เต้านมก็จะนำส่งรพ.บางคล้า โดยมี นพ.ชูชัย ศรชำนิ ศัลยแพทย์จิตอาสา ทำการผ่าตัดนำชิ้นเนื้อไปตรวจและหากพบว่าผิดปกติส่งต่อไปรพ.พุทธโสธรหรือตามสิทธิการรักษาต่อไป

ด้าน พญ.ชัชชญา ปุณญาภัสส์ รองนายแพทย์สาธารณสุข Project Manager กล่าวว่า สำหรับผลการดำเนินงานในโครงการนี้สามารถให้บริการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมโดยเครื่องแมมโมแกรมและอัลตราซาวน์เต้านมใน จ.ฉะเชิงเทรา ไปแล้วทั้งหมด 8,408 คน พบผลการตรวจผิดปกติตั้งแต่ BIRADS 3 ขึ้นไป 550 คน สตรีที่ต้องได้รับการตรวจชิ้นเนื้อเพื่อยืนยันการวินิจฉัย 138 คน ขณะนี้ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งเต้านมระยะต้น ได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัดและยาเคมีบำบัดเรียบร้อยแล้ว 40 คน ในปี 2568 ตั้งเป้าหมายในการคัดกรอง 10,000 คน ตรวจคัดกรองแล้ว 5,900 คน พบผลการตรวจผิดปกติในระดับ BIRADS 4 และ 5 รวม 99 คน และได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งเต้านม 20 คน

อย่างไรก็ตามประเทศไทยมีอัตราการเกิดโรคมะเร็งเต้านมในกลุ่มสตรีมีอายุน้อยลง และหญิงไทยเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านมสูงอย่างต่อเนื่องและมีอัตราการเสียชีวิตสูงขึ้น ประมาณ 13-14 รายต่อแสนประชากร แต่โรคนี้หากรักษาตั้งแต่ระยะต้นจะเพิ่มโอกาสการรักษาจนหายขาดได้ โดยมีอัตรารอดชีวิตในช่วง 5 ปี สูงถึง 98% ในระยะที่ 1 และ 88% ในระยะที่ 2 อีกทั้งสามารถลดค่าใช้จ่ายในการรักษาลงจากระยะท้ายได้ ประมาณ 500,000 บาท/คน

ดังนั้นเห็นได้ว่าโครงการคัดกรองมะเร็งเต้านมเชิงรุกนี้สามารถสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านมและครอบครัว ทั้งยังช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัวและประเทศในการรักษาโรคมะเร็งเต้านมได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่าที่จะดำเนินการอย่างยิ่ง”

ด้าน นพ.ดิเรก ภาคกุล ผอ.รพ.บางคล้า กล่าวว่า ส่วนหนึ่งที่เราทำเรื่องนี้เพราะเราเห็นถึงปัญหาของประชาชน มีประชาชนส่วนหนึ่งพบว่าจะมารักษาก็เป็นระยะสุดท้ายแล้ว ซึ่งทำให้มีผลการรักษาและรอดชีวิต สิ่งที่เราวางแผนไว้ คือรพ.บางคล้า ซึ่งเป็นรพ.ที่สตรีกลุ่มเสี่ยงสามารถเข้าถึงบริการได้ รวมทั้งยังมีแพทย์ที่สามารถนำชิ้นเนื้อไปตรวจได้ อีกส่วนหนึ่งคือรถแมโมแกรมเคลื่อนที่ใช้สำหรับพื้นที่เชิงรุก ค้นหาคัดกรองสตรีที่มีปัจจัยเสี่ยงอายุ ประวัติครอบครัว หรือความรู้สึกที่มีก้อนต่างๆบริเวณเต้านม จะให้อสม.หรือสาธารณสุขในพื้นที่ไปสำรวจและทำบัญชี รวบรวมรายชื่อแล้วจะมีทีมรถเคลื่อนที่ไปตรวจคัดกรองทำโดยรังสีแพทย์ ตามมาตราฐานทางการแพทย์ ปีนี้ถือเป็นปีแรกของรพ.บางคล้า แต่ทำมาแล้ว 2 ปี

ด้าน ภก.คณิตศักดิ์ กล่าวภายหลังเยี่ยมชมฯว่า โครงการคัดกรองมะเร็งเต้านมเชิงรุกนี้สามารถสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านมและครอบครัว ทั้งยังช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัวและประเทศในการรักษาโรคมะเร็งเต้านมได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่าที่จะดำเนินการอย่างยิ่ง ซึ่งในสตรีอายุ 40 ปีขึ้นไป ที่มีประวัติญาติสายตรงเป็นมะเร็งเต้านม ควรมาตรวจ Mammogram & Ultrasound จำนวน 1 ครั้ง ทุก2 ปี ลงทะเบียนและบันทึกผลตรวจ กรณี ผลการตรวจคัดกรอง BIRADS ผิดปกติ BIRADS 4 และ 5เข้าสู่กระบวนการตรวจยืนยันและบริการรักษา ตามสิทธิการรักษาต่อไป

ภก.คณิตศักดิ์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ บริการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม ด้วยเครื่องแมมโมแกรม และอัลตราชาวด์ สปสช.จ่ายในอัตราไม่เกิน 2,400 บาทต่อครั้ง อัตราจ่ายเป็นไปตามประกาศสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเกี่ยวกับการการจ่ายค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุข กรณีการจ่ายตามรายการบริการ

“ในอนาคตหวังว่าโรงพยาบาลต่างๆในประเทศไทยจะนำโมเดลจัดหน่วยเคลื่อนที่ตะเวนตรวจคัดกรองสตรีกลุ่มเสี่ยงด้วยเครื่องแมมโมแกรมและอัลตร้าซาวนด์ไปกระจายให้ทั่วประเทศไทย เป็นต้นแบบของทุกๆจังหวัด ซึ่งการลงพื้นที่ครั้งนี้เพื่อดูแบบอย่างที่เกิดขึ้นได้จริง ทำได้จริง จากเดิมที่ประชาชนจะคัดกรองจะต้องรอเวลา รอคิวในโรงพยาบาลนาน หากโรงพยาบาลท่านอื่นๆ ก็สามารถที่จะนำไปปรับใช้ในจังหวัดได้ ถ้ายังไม่เข้าใจ ไม่ทราบว่าจะเริ่มต้นอย่างไร ก็ลองมาเรียนรู้กับจังหวัดฉะเชิงเทราดูได้” ภก.คณิตศักดิ์ กล่าว

ด้านนางสุมารี ทองกอน อายุ 57 ปี ผู้เข้ารับบริการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมเล่าความรู้สึก ว่า ช่วงแรกๆก่อนตรวจก็รู้สึกกังวล ตนมารับบริการตรวจครั้งนี้เป็นครั้งที่สอง โดยก่อนหน้านี้เคยตรวจที่ศูนย์บริการสาธารณสุขใกล้บ้าน แต่ไม่ได้มีการติดตามผลหรือเข้าสู่กระบวนการรักษาอย่างต่อเนื่อง
“พอมีรถแมมโมแกรมเคลื่อนที่เข้ามาในพื้นที่ชุมชน แพทย์ก็ได้ทำการตรวจและสแกน พบว่ามีก้อนเนื้อในเต้านม จึงแนะนำให้ผ่าตัดเพื่อชิ้นเนื้อไปตรวจ ซึ่งก็ไม่เจ็บและรอผล หากพบว่าเป็นรพ.จะออกใบส่งตัวให้ไปยังโรงพยาบาลที่มีศักยภาพในการรักษา โดยไม่จำเป็นต้องกลับไปรักษาตามสิทธิ์เดิม ” นางสุมารีกล่าว

บทความที่เกี่ยวข้อง
- Advertisment -spot_img

บทความยอดนิยม

- Advertisment -spot_img

ความคิดเห็นล่าสุด

- Advertisment -spot_img