เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 ณ สาธารณสุขอำเภอ(สสอ.)ลืออำนาจ จังหวัด อำนาจเจริญ เภสัชกรคณิตศักดิ์ จันทราพิพัฒน์ ผู้ช่วยเลขาธิการ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) พร้อม นางมลุลี แสนใจ ผอ.สปสช.เขต 10 อุบลราชธานี และนพ.สุวิทย์ โรจนศักดิ์โสธร ผู้ทรงคุณวุฒิ สปสช.เขต 10 อุบลราชธานี ลงพื้นที่เยี่ยมชมการดำเนินงาน “ลืออำนาจ(เจริญ)โมเดล
ยกระดับการดูแลเบาหวานผ่านพลังชุมชุม โดยมีธรรมนูญสุขภาพในพื้นที่ขับเคลื่อนกลไกท้องถิ่น ช่วยในการติดตาม ดูแล และส่งเสริมสุขภาพผู้ป่วยเบาหวานในชุมชนอย่างเป็นระบบ” โดยมี นายแพทย์สุเมธ แสงอ่อน ผอ.รพ.ลืออำนาจ และ นายรัชพล เดชเสงี่ยมศักดิ์ สสอ. ลืออำนาจ พร้อมคณะในพื้นที่ให้การต้อนรับ
เภสัชกรคณิตศักดิ์ กล่าวว่า ที่นี่มีความเข้มแข็ง ใช้พลังชุมชนขับเคลื่อนด้วยธรรมนูญสุขภาพ ภายใต้ความร่วมมือของหลายภาคส่วน เช่น รพ. รพ.สต.องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน และ อสม. ช่วยกันดูแลให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดี ซึ่งเป็นแนวทางที่เข้มข้นกว่าการดูแลและรักษาแบบเดิมๆ ด้วยการพบแพทย์เดือนละครั้ง หรือ2เดือนครั้ง และที่นี่ใช้ อสม.เข้ามาช่วยดูแลเชิงรุก ปรับวิธีคิด และปรับเปลี่ยนพฤติกรรม จนทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี ผู้ป่วยเบาหวานทั้ง อ.ลืออำนาจ ตอนนี้สามารถหยุดยาได้แล้ว 15 คน ส่วนผู้ป่วยที่เหลือก็สามารถลดยา หรือใช้ยาคงเดิมควบคุมโรคได้ดีขึ้น มีการปรับวิธีคิด ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม มีการออกกำลังกายอย่างเหมาะสม ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้
“การดูแลเบาหวานผ่านพลังชุมชุมของ อ.ลืออำนาจเจริญ เป็นโมเดลตัวอย่างให้กับพื้นที่อื่นๆได้เป็นอย่างดี ซึ่ง สปสช.พร้อมให้การสนับสนุนผ่านกองทุน กปท.อย่างเต็มที่ เพื่อช่วยให้คนไทยห่างไกลจากโรค NCDs”เภสัชกรคณิตศักดิ์ กล่าว
ด้านนายแพทย์สุเมธ แสงอ่อน ผอ.รพ.ลืออำนาจ กล่าว่า สำหรับสถานการณ์โรค เบาหวาน มีผู้ป่วยเบาหวานเพิ่มขึ้น 300,000 คนต่อปี สำหรับในจังหวัดอำนาจเจริญ มีผู้ป่วยเบาหวาน 25,546 คน และ มีผู้ป่วยที่ยังควบคุมน้ำตาลไม่ได้ 16,520 คน โดยมีค่ารักษา กินยาหรือฉีดยาตลอดขีวิต เฉลี่ย 28,000 บาท/คน/ปี โดยทั้งจังหวัดต้องใช้เงิน 682.5ล้านบาท
ในปี 2568 จึงจัดทำโครงการฯมุ่งเน้นการดูแลสุขภาพประชาชน กลุ่มเสี่ยงเบาหวาน ซึ่งเป็นปัญหาสาธารณสุขสำคัญของพื้นที่ บทบาทของเครือข่ายสุขภาพอำเภอลืออำนาจ สสอ.ลืออำนาจ ร่วมกับโรงพยาบาลลืออำนาจ เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนโครงการฯ ซึ่งอ.ลืออำนาจ มีประชากรรวม 35,935 คน และมีหน่วยบริการสาธารณสุขภาครัฐ ได้แก่ โรงพยาบาลชุมชน 1 แห่ง และ รพ.สต. 10 แห่ง
สำหรับการคัดกรองและบริหารจัดการกลุ่มเป้าหมาย มีการคัดกรองผู้ป่วยเบาหวานรายใหม่และกลุ่มที่มีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) เกิน 30 รวมถึงกลุ่มที่สงสัยป่วยเบาหวาน กระบวนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ใช้แนวทางที่หลากหลาย โดยผลการดำเนินงาน มีกลุ่มเป้าหมายเข้าร่วมโครงการ 40 คน ผู้ป่วยสามารถหยุดยาได้ 15 คน คิดเป็นร้อยละ 37.5 ผู้ป่วยสามารถลดยาได้ 10 คน คิดเป็นร้อยละ 25 และผู้ป่วยคงยาเดิม 15 คน คิดเป็นร้อยละ 37.5
“การดูแลสุขภาพของประชาชน ต้นแบบในการยกระดับ “ลืออำนาจ (เจริญ) โมเดล” เน้นให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลสุขภาพของตนเองเพื่อดูแลตนเอง และเสริมสร้างชุมชนให้พึ่งตนเองด้านสุขภาพ โมเดลนี้สอดคล้องกับกลไก “3 หมอ” ประกอบด้วย อสม. (หมอคนที่ 1), รพ.สต. (หมอคนที่ 2), และโรงพยาบาลชุมชน (หมอคนที่ 3) ช่วยให้การจัดบริการส่งเสริมสุขภาพเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ สนับสนุนการดูแลเบาหวานและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างเข้มข้นในระดับชุมชน
ด้านนายถวิล ศรีสุวรรณ กำนันตำบลเปือย อ.ลืออำนาจ จ.อำนาจเจิรญ ในฐานะกรรมการกองทุนหลักประกันสุขภาพท้องถิ่น(กปท.) กล่าวว่า ที่นี่มีการขับเคลื่อนพลังชุมชนผ่านธรรมนูญสุขภาพตำบลเปือย และเทศบาลตำบลเปือย ได้ประกาศใช้ ธรรมนูญสุขภาพตำบลเปือย ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2554 เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2554 ต่อมาในปี 2567 ได้มีการจัดเวทีถอดบทเรียนเนื่องในวาระครบรอบทศวรรษ และปรับปรุงเนื้อหาให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน จนกลายเป็น ธรรมนูญสุขภาพตำบลเปือย ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 ปี 2567 ซึ่งมีทั้งหมด 10 หมวด 40 ข้อ และประกาศใช้เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2568
“ธรรมนูญสุขภาพตำบลเปือย” ทำหน้าที่เป็นกลไกหลักในการประสานงานและขับเคลื่อนธรรมนูญให้เป็นนโยบายสาธารณะท้องถิ่น ใช้เป็นกรอบแนวทางในการส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค และคุ้มครองผู้บริโภคอย่างเป็นระบบ ภายใต้ธรรมนูญดังกล่าว “กองทุนหลักประกันสุขภาพในระดับท้องถิ่นหรือพื้นที่” (กปท.) ที่ได้รับการสนับสนุนจากเทศบาลและ สปสช. ทำหน้าที่เป็นกลไกทางการเงินหลัก ที่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการวางแผนและดำเนินกิจกรรมสุขภาพ ส่งเสริมการพึ่งพาตนเอง และสร้างสุขภาวะที่ยั่งยืนในระยะยาว
ด้านนางสุมาลัย นิลมาลี อายุ 53 ปี ชาวบ้านต.เปือย ป่วยเป็นเบาวหวานมานาน 10 ปีที่เข้าร่วมโครงการแล้วสามารถหยุดยาได้ เล่าว่า ก่อนที่ตนจะเข้าร่วมโครงการต้องกินยาเบาหวานประมาณ 10 เม็ดต่อวัน พอได้เข้าร่วมโครงการประมาณ 7-8 เดือนแล้วช่วงแรกๆทางโครงการให้มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเรื่องการกิน เน้นกินผัก กินปลา ไม่กินหวานทำอยู่ประมาณ 3-4 เดือนผลปรากฎว่าน้ำตาลเลือดลดลงจนเป็นปกติ สิ่งสำคัญต้องมีการตรวจสุขภาพบ่อยๆซึ่งโครงการจะมีการตรวจทุกวันศุกร์ของสัปดาห์ ที่ลุกมาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน ออกกำลังกาย เพราะต้องการอยู่กับลูกหลานนานๆอยากเห็นลูกหลานเติบโต