วัดดอยท่าเสา จ.อุตรดิตถ์ จับมือภาคีเครือข่าย ร่วมกับ สปสช. จัดบริการกุฏิชีวาภิบาล ดูแลพระสงฆ์อาพาธ ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี และจากไปอย่างสงบเมื่อถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
วันที่ 16 กันยายน 2568 คณะสปสช. และสสจ.อุตรดิตถ์ พร้อมรพ.อุตรดิตถ์ ลงพื้นที่รับฟังสถานชีวาภิบาล วัดดอยท่าเสา ต.ท่าเสา อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์ โดยได้รับความเมตตา จากพระครูสุภัทรสันติคุณ (วิรัตน์ สนฺตกาโย) เจ้าอาวาสวัดดอยท่าเสา และมีผู้นำชุมชน รพ.สต.ท่าเสา อสม. เครือข่าย Care Giver (CG) ของตำบลท่าเสา สรุปภาพรวมการดำเนินงานชีวภิบาลวัดฯ
พระครูสุภัทรสันติคุณ (วิรัตน์ สนฺตกาโย) เจ้าอาวาสวัดดอยท่าเสา บอกว่า ที่มาของการเข้าร่วมโครงการเป็นหน่วยบริการที่รับการส่งต่อเฉพาะด้านสถานชีวาภิบาล ร่วมกับสปสช. เริ่มมาจากให้ความสนใจในการดูแลสุขภาพพระสงฆ์ตามหลักทางพุทธศาสนา ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า พระภิกษุนั้นไม่มีครอบครัวเหมือนฆราวาส เมื่อป่วยไข้ ต้องช่วยเหลือและดูแลกันเอง อานิสงส์ของการดูแลพระอาพาธนั้นไม่ต่างจากการทำบุญกับพระพุทธเจ้า
เจ้าอาวาสวัดดอยท่าเสา กล่าวว่าก่อนเข้าร่วมโครงการ วัดดอยท่าเสาเป็นศูนย์กลางของการนำปัจจัยจากญาติโยม ในการดูแลพระภิกษุที่ป่วยไข้ ไม่มีผู้ดูแลในจังหวัดอุตรดิตถ์ และรวบรวมปัจจัยจากการทำบุญสร้างห้องให้กับพระสงฆ์อาพาธที่โรงพยาบาลอุตรดิตถ์ เพื่อแยกพื้นที่เป็นสัดส่วนออกจากฆราวาส ต่อมาปี 2562 เข้ารับการอบรมหลักสูตรพระคิลานุปัฏฐากรุ่นแรกของจังหวัด จึงนำความรู้มาใช้ในการดูแลพระสงฆ์อาพาธ เพราะเข้าใจดีว่าเมื่อพระสงฆ์ป่วยไข้ ญาติก็อยากให้สึกเพื่อจะได้ดูแลอย่างใกล้ชิด แต่พระสงฆ์นั้นต้องการครองผ้าเหลืองไปจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
“เมื่อปี 2567 กรมอนามัย และสปสช. มีโครงการฯ จึงเข้าร่วมจัดอาคาร สถานที่ดูแลพระสงฆ์อาพาธ ที่มีภาวะพึ่งพิง ติดเตียง ให้ได้รับการดูแลต่อเนื่อง ตั้งแต่ระยะแรกจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต รู้สึกดีใจที่ได้ทำหน้าที่นี้ และเป็นส่วนหนึ่งของการจัดระบบบริการสุขภาพพระสงฆ์” เจ้าอาวาสวัดดอยท่าเสากล่าว
สำหรับกุฎิชีวาภิบาลวัดดอยท่าเสามีพระคิลานุปัฏฐาก 5 รูป ผ่านการอบรมตามหลักสูตรการดูแลแบบประคับประคอง (Paliative care) ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติจากกรมอนามัย เพื่อให้บริการพระสงฆ์ที่อาพาธ
พระครูสุภัทรสันติคุณ บอกว่า บริการนี้ นอกจากเป็นการดูแลสุขภาพพระสงฆ์ตามหลักทางพุทธศาสนาแล้วยังเป็นการสนองนโยบายของคณะสงฆ์และภาครัฐด้วย เนื่องจากพระภิกษุส่วนใหญ่ไม่มีครอบครัว เมื่อป่วยไข้ จึงต้องดูแลกันเอง หรือบางรูปที่มีครอบครัว ก็ไม่สะดวกให้ญาติดูแล หรือต้องลาสิกขา ทางวัดจึงร่วมกับทุกภาคส่วนจัดสร้างกุฏิชีวาภิบาลขึ้น โดยตอนนี้เปิดให้บริการแล้ว 5 เตียง และในอนาคตจะขยายเพิ่มเป็น 20 เตียง เพื่อให้เพียงพอรองรับพระสงฆ์อาพาธที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
ด้านนางภิญญาพัชญ์ ทรัพย์มีดา พยาบาลวิชาชีพชำนาญการพิเศษ สสจ.อุตรดิตถ์ น.ส.สุวรรณา มณีจำนงค์ พยาบาลวิชาชีพชำนาญการพิเศษ กลุ่มงานการพยาบาลชุมชน รพ.อุตรดิตถ์ บอกว่า ที่ผ่านมา รพ. มีปัญหาการจำหน่ายพระสงฆ์ที่ดูแลตัวเองไม่ได้ และไม่มีญาติ การมีกุฏิชีวาภิบาลแห่งนี้ เป็นหน่วยรับส่งต่อจึงช่วยเหลือได้มาก ซึ่งทาง รพ.ได้จัดระบบจัดทีมสหวิชาชีพเข้ามาช่วยดูแลอย่างใกล้ชิด ร่วมกับพระคิลานุปัฏฐาก และภาคีเครือข่ายในพื้นที่ ช่วยให้พระสงฆ์อาพาธ ได้รับการดูแลอย่างถูกวิธี มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น หรือจากไปอย่างสงบเมื่อถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
ทั้งนี้ หน่วยบริการที่รับการส่งต่อเฉพาะด้านสถานชีวาภิบาล มาตรา 3 ตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ในพื้นที่เขต 2 มีจำนวน 6 แห่ง นอกจากวัดดอยท่าเสาแห่งนี้แล้ว มีวัดเข้าร่วมเป็นหน่วยบริการเฉพาะด้านกับสปสช. อีก 5 แห่ง ได้แก่ วัดชำทองจ.อุตรดิตถ์ วัดมาตานุสรณ์ จ.ตาก วัดโพนไทรงาม จ.พิษณุโลก วัดราษฎร์ศรัทธาราม จ.สุโขทัย และวัดศรีฐานปิยาราม จ.เพชรบูรณ์จากทั้งหมด 6 แห่งนี้ จัดบริการแล้ว จำนวน 4 แห่งบันทึกการเรียกเก็บค่าบริการเข้ามา 14 ราย เป็นเงิน 146,188 บาท ซึ่งวัดดอยท่าเสาแห่งนี้มีการจัดบริการมากที่สุดในพื้นที่เขต 2 พิษณุโลก เป็นสถานชีวาภิบาลที่มีความโดดเด่น ด้วยเจ้าอาวาสเป็นศูนย์กลางจิตใจและความร่วมไม้ร่วมมือของภาคีเครือข่ายในพื้นที่
พระครูโสภณ ธรรมาภิรัต อายุ 83 ปี วัดม่อนนางเหลียว ป่วยเป็น โรคหลอดเลือดสมอง แขนขาซ้ายอ่อนแรง เล่าว่า มาพักรักษาที่วัดแห่งนี้ประมาณ เดือนกว่า รู้สึกดูแลดีมากเหมือนอยู่รพ.เลย อีกทั้งผู้ดูแลก็เป็นพระเขาทำให้เต็มที่เวลามีปัญหาสุขภาพ แม้แต่อาบน้ำก็รู้สึกสนิทใจ อยากให้มีกุฏิชีวาภิบาลในทุกตำบล อำเภอ และจังหวัด