วันที่ 15 กันยายน 2568 ทพ.สันติ ศิริวัฒนไพศาล ผู้อำนวยการ สปสช. เขต 2 พิษณุโลก ลงพื้นที่เยี่ยมชมการจัดบริการพาหนะรับส่งผู้ทุพพลภาพของเทศบาลตำบลไทรย้อย ซึ่งเป็นการสมทบงบประมาณระหว่างเทศบาลตำบลไทรย้อยและสปสช. ภายใต้กองทุนหลักประกันสุขภาพในระดับท้องถิ่นหรือพื้นที่ (กปท.) โดยมีนายพิชัย ไผ่พงษ์ นายกเทศมนตรีตำบลไทรย้อย และคณะกรรมการกองทุนฯ ให้การต้อนรับและสรุปภาพรวมการดำเนินงาน
นายพิชัย ไผ่พงษ์ นายกเทศมนตรีตำบลไทรย้อย กล่าวว่า เทศบาลตำบลไทรย้อยให้ความสำคัญในการจัดบริการรถรับส่งต่อผู้ป่วย ไปรักษาที่โรงพยาบาลมาตั้งแต่ก่อนที่สปสช. จะมีประกาศหลักเกณฑ์ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถจัดบริการพาหนะรับส่งผู้ทุพพลภาพได้จากงบกองทุน กปท.
ทั้งนี้ เมื่อปี 2567 แล้วได้นำโครงการรถรับส่งฯ มาแล้วโดยใช้งบประมาณซึ่งมาจากการออมของคนในชุมชนเอง เพราะเห็นว่า ระยะทางไป-กลับจากอำเภอเนินมะปรางไปโรงพยาบาลในเขตเมือง รวมกว่า 180 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางไป-กลับ เกือบ 4 ชั่วโมง
“ถือว่าเป็นภาระค่าใช้จ่ายค่อนข้างมากสำหรับผู้ป่วยที่มีนัดต่อเนื่อง หลายคนไม่มีค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ก็ไม่อยากไปรักษา เมื่อมีประกาศหลักเกณฑ์ออกมาชัดเจน ศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน จึงจัดทำโครงการจัดบริการพาหนะรับส่งผู้ทุพพลภาพ ช่วยผู้ป่วย 3 กลุ่มหลัก คือคนพิการ ผู้สูงอายุที่จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือ และผู้ป่วยที่เดินทางลำบาก รวมกว่า 3,000 คน โดยจัดรถให้บริการทุกวันตามแพทย์นัด ทำให้มีงบประมาณที่จะจัดบริการตามปัญหาสุขภาพของคนในชุมชนด้านอื่นๆ ได้มากขึ้น”
ทพ.สันติ ศิริวัฒนไพศาล กล่าวว่า จากมติบอร์ดสปสช. ที่ผ่านมา (5 ส.ค. 67) มีมติเห็นชอบร่างข้อเสนอการจัดบริการพาหนะรับส่งผู้ทุพพลภาพ เพื่อเข้ารับบริการสาธารณสุขในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ “บัตรทอง 30 บาท” ซึ่งผู้ทุพพลภาพในที่นี้หมายถึงผู้ใช้สิทธิบัตรทอง 3 กลุ่ม คือ 1.คนพิการที่ได้ขึ้นทะเบียนคนพิการแล้ว 2.ผู้สูงอายุที่จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือ และ 3.ผู้ป่วยที่มีความยากลําบากในการไปรับบริการสาธารณสุขด้วยตนเอง ทั้งนี้ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนผู้มีสิทธิที่เป็นผู้ทุพพลภาพ สามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้ตามความจําเป็น ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายทางอ้อมของครัวเรือน อาทิ ค่าเดินทาง ค่าเสียโอกาสของญาติ ฯลฯ
ทั้งนี้ ที่มาของข้อเสนอนี้ ด้วยปัจจุบันผู้ทุพพลภาพกลุ่มต่างๆ ยังมีข้อจํากัดในการเดินทางจากบ้านไปรับบริการที่โรงพยาบาลหรือหน่วยบริการ และไม่สามารถขอรับบริการรถฉุกเฉินผ่านสายด่วน 1669 ได้ เนื่องจากไม่เข้าข่ายการเจ็บป่วยฉุกเฉิน เช่น คนพิการ จิตเวช ที่ต้องพบแพทย์ตามนัด การล้างไต ทำแผล ฯลฯ และจากเวทีรับฟังความเห็นทั่วไปในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปี 2563 และ 2564 ก็มีข้อเสนอจากภาคประชาชนที่ขอให้ สปสช. เพิ่มบริการพาหนะรับส่งผู้ป่วยเป็นสิทธิประโยชน์ในระบบบัตรทองเพื่อช่วยให้ผู้ทุพพลภาพเข้าถึงบริการได้โดยสะดวก”
“ร่างข้อเสนอการจัดบริการพาหนะรับส่งผู้ทุพพลภาพ เพื่อเข้ารับบริการสาธารณสุข จะเป็นแนวทางในการปฏิบัติที่ชัดเจนให้กับ อปท. ในการจัดทำโครงการบริการรับส่งผู้ทุพพลภาพจากบ้านไปกลับโรงพยาบาลโดยใช้งบ กปท. ซึ่งผู้ให้บริการรถรับส่ง ได้แก่ รถพยาบาลของหน่วยบริการ ที่เป็นไปตามมาตรฐานรถพยาบาลของสถานพยาบาล, รถหน่วยปฏิบัติการแพทย์ฉุกเฉินที่สถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน (สพฉ.) รับรองและขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยงานที่ให้บริการรับส่งต่อผู้ป่วยและผู้ทุพพลภาพ และรถรับส่งผู้ป่วยโดยภาคเอกชนหรือเครือข่าย รวมถึงรถโดยสารสาธารณะสำหรับผู้โดยสารคนเดียวหรือกลุ่มเล็ก เช่น รถแท็กซี่ เป็นต้น ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด นับเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนอย่างมาก” ผอ.สปสช.เขต2กล่าว
สำหรับพื้นที่เขต 2 พิษณุโลก มี อบต./เทศบาล จัดบริการพาหนะรับส่งผู้ทุพพลภาพ จำนวน 18 แห่ง จาก อบต./เทศบาล เข้าร่วมโครงการ กปท. 466 แห่ง ให้การดูแลกลุ่มเป้าหมายทั้งสิ้น 4,686 คน วงเงิน 634,165 บาท ทั้งนี้ อัตราการจ่ายค่าบริการพาหนะตามประกาศฯ ได้แก่ (1) อัตราต่อเที่ยวๆ ละไม่เกิน 350 บาท หรือ (2) จ่ายเหมาบริการรายวัน ไม่เกิน 2,000 บาทต่อคันต่อวัน ซึ่ง อปท. พิจารณาได้ตามบริบทของแต่ละพื้นที่
นอกจากนี้ ลงเยี่ยมนางวันนี ปันทวาย อายุ60 ปี ผู้ป่วยโรคไต หัวใจ พักอยู่กับลูกสาว เล่าว่า ตนป่วยเป็นโรคไตมาตั้งแต่ปี2553รักษามาตลอดจนปี2559 ก็เริ่มล้างไตผ่านหน้าท้อง ได้เพียงปีเดียวปรากฎว่าติดเชื้อปี2560 มำให้ตนต่องมาฟอกไตสัปดาห์ละ3ครั้ง อีกทั้งรพ.ที่มาฟอกไตเป็นรพ.ซึ่งอยู่ห่างจากบ้าน 80 กิโลเมตรเวลาหาหมอลำบากมาก ก็ต้องเหมารถข้างนอกจ่ายครั้งละกว่า1,000 บาทไปฟอกตามรพ.นัด สัปดาห์ละ3ครั้ง ถ้าไม่มีรถรับส่งของเทศบาลไม่รู้เสียเงินเท่าไร
“การไปรพ.แต่ละครั้งทางเจ้าหน้าที่ จะรวมผู้ป่วยที่มีบัตรนัดวันเดียวกัน รวมกันไปประมาณ6-10 คนต่อวัน กลับก็กลับพร้อมกัน โดยจะไปรับและส่งถึงบ้าน โดยผู้ป่วยไม่ต้องผ่าตัด พอมีนโยบายนี้ดีขึ้น ขอขอบคุณหน่วยงานและทุกส่วนที่ช่วยให้มีรถรับส่งผู้ป่วยเกิดขึ้น ทำให้ตนไม่ต้องเสียเงินเยอะแถมมีสุขภาพดีขึ้นด้วย”นางวันนีกล่าว