วันที่ 18 ธันวาคม 2567 ณ โรงพยาบาลศรีสะเกษ นพ.สุวิทย์ วิบุลผลประเสริฐ บอร์ดควบคุมคุณภาพและมาตรฐานฯ สปสช.พร้อม ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการสปสช. และ นางมลุลี แสนใจ ผอ.สปสช.เขต10 อุบลราชธานี นพ.สุวิทย์ โรจนศักดิ์โสธร ผู้ทรงคุณวุฒิ สปสช.เขต 10 อุบลฯ ลงพื้นที่เพื่อติดตามการใช้นวัตกรรมทางการแพทย์ การผ่าตัดใส่กะโหลกเทียมในผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ สำหรับผู้ป่วยในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) โดย มีนายแพทย์พิเชฏฐ์ จงเจริญ รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดศรีสะเกษ นพ.นพพล บัวศรี รองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ฯ รพ.ศรีสะเกษ และนพ.จาตุรงค์ คำทา แพทย์ประสาทศัลยศาสตร์ รพ.ศรีสะเกษ ต้อนรับและแลกเปลี่ยนนวัตกรรมทางการแพทย์ฯ
นพ.นพพล บัวศรี รองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ฯ กล่าวว่า รพ.ศรีสะเกษได้ผ่าตัดใส่กะโหลกเทียมให้กับผู้ป่วยของรพ. โดยมีนพ.จาตุรงค์ คำทา แพทย์ประสาทศัลยศาสตร์ รพ.ศรีสะเกษ เป็นแพทย์ผู้ทำการผ่าตัดใส่กะโหลกเทียมในผู้ป่วย ส่วนใหญ่จะใช้แผ่นปิดกะโหลก แบบ PMMA ส่วน Titanium มีใช้แต่น้อย และได้ให้บริการผ่าตัดฯให้ผู้ป่วยไปแล้วจำนวน 52 ครั้ง หลังผ่าตัดยังไม่พบปัญหาในการใช้งาน ไม่พบการติดเชื้อ ข้อดี คือแพทย์สามารถปั้นแผ่นปิดกะโหลกให้พอดีกับผู้ป่วยแต่ละรายได้ แต่อาจต้องเสียเวลาในการปั้นกะโหลกเทียม และที่สำคัญสามารถลดการส่งต่อผู้ป่วยไปรับการผ่าตัดที่ รพ.สรรพสิทธิประสงค์ ทำให้ผู้ป่วยและญาติ ลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางและภาระค่าใช้จ่ายส่วนตัวในการเฝ้าไข้ผู้ป่วยอีกด้วย
ด้าน นพ.สุวิทย์ บอร์ดควบคุมคุณภาพและมาตรฐานฯ สปสช. กล่าวว่า รพ.ศรีสะเกษ ใช้นวัตกรรมแผ่นปิดกะโหลกศีรษะด้วยวัสดุไทเทเนียม และPMMA(พีเอ็มเอ็มเอ) ถือเป็นนิมิตรหมายที่ดีและเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ทำให้ประเทศไม่ต้อง เสียค่าใช้จ่ายงบประมาณออกนอกประเทศเพราะที่ผ่านมาเราต้องเสียงบประมาณอย่างมหาศาลในการนำเข้าวัสดุ ดังกล่าว ด้วยราคาค่อนข้างสูงมาก ยังเป็นที่พึ่งของประชาชนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และจะติดตามและให้กำลังใจการดำเนินงานต่อไป
ส่วน ทพ.อรรถพร รองเลขาธิการ สปสช. เผยว่า จากการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) เมื่อวันที่ 4 ก.ย. 2566 มีมติเห็นชอบข้อเสนอการเพิ่มสิทธิประโยชน์บริการแผ่นปิดกะโหลกศีรษะเฉพาะบุคคลผลิตจากโลหะไทเทเนียมด้วยเทคโนโลยีการพิมพ์แบบ 3 มิติ สำหรับใช้กับผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องผ่าตัดสมองและไม่สามารถใช้กะโหลกเดิมในการปิดศีรษะได้
ทั้งนี้ ภายหลังจากที่บอร์ด สปสช. มติเห็นชอบสิทธิประโยชน์ดังกล่าว ได้มีโรงพยาบาลติดต่อขอใช้เวชภัณฑ์แผ่นปิดกะโหลกศีรษะจากโลหะไทเทเนียมฯ แล้วจำนวนประมาณ 37แห่ง ซึ่งจากการตอบรับของโรงพยาบาลที่ค่อนข้าวเร็ว ทำให้เห็นได้ว่านวัตกรรมทางการแพทย์ที่คิดค้นจากนักวิจัยไทยได้รับการยอมรับ และเป็นที่ต้องการของบุคลากรทางการแพทย์เพื่อใช้ในการรักษาผู้ป่วย
อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะมีผู้ป่วยที่ต้องได้รับการรักษาด้วยแผ่นปิดกะโหลกศีรษะ ทั้งผู้ป่วยรายใหม่ และผู้ป่วยสะสมที่รอการรักษาจำนวนประมาณ 1,000-4,000 รายทั่วประเทศ โดยส่วนใหญ่พบว่าเป็นผู้ป่วยในวัยทำงาน และวัยสูงอายุที่เจ็บป่วยด้วยโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ที่ต้องได้รับการฟื้นฟูหลังได้รับการรักษา

นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงผู้ป่วยประสบอุบัติเหตุทางท้องถนน และได้รับบาดเจ็บศีรษะอย่างรุนแรงที่มีจำนวนมากเช่นกัน บางรายจะต้องเปิดกะโหลกศีรษะ เมื่อรักษาเสร็จก็ต้องปิดกลับด้วยเวชภัณฑ์ที่มีคุณภาพ เพื่อป้องกันความเสียหายของเนื้อสมอง ช่วยให้ความดันภายในสมองเป็นปกติ ซึ่งจะมีผลอย่างมากต่อการฟื้นฟูสมรรถภาพ ทำให้ผู้ป่วยกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น หรือสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ใกล้เคียงกับปกติมากที่สุด “ผู้ป่วยทั้ง 2 กลุ่มนี้เป็นประชากรกลุ่มใหญ่ของประเทศ และใช้สิทธิบัตรทองในการรักษา ซึ่งก็จะทำให้เข้าถึงเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่มีราคาสูงได้อย่างเท่าเทียม ไม่มีค่าใช้จ่าย เนื่องจากบอร์ด สปสช. ได้อนุมัติเป็นชุดสิทธิประโยชน์ด้านสุขภาพให้แก่คนไทยสิทธิบัตรทองแล้ว เพราะที่ผ่านมาการใช้เทคโนโลยีราคาสูงจะถูกจำกัดอยู่แค่กลุ่มคนที่มีกำลังจ่าย ” ทพ.อรรถพร ระบุ
ทพ.อรรถพร กล่าวว่า ปัจจุบันจากข้อมูลการจ่ายชดเชยนวัตกรรมแผ่นปิดกะโหลกศีรษะจากโลหะไทเทเนียมฯ และ PMMA ในปีงบประมาณ 2567 พบว่ามีการให้บริการผู้ป่วยไปแล้ว จำนวน 163 ราย จำนวน 165ชิ้น รวมเป็นค่าอุปกรณ์ทั้งสิ้น จำนวน 5,662,037บาท ซึ่งนอกจากจะช่วยผู้ป่วยได้เป็นจำนวนมากแล้ว ยังถือว่าเป็นการสนับสนุนนักวิจัยภายในประเทศที่คิดค้นนวัตกรรมของคนไทยได้สำเร็จอีกด้วย
นางมลุลี กล่าวว่า ปัจจุบันจากข้อมูลการจ่ายชดเชยในการผ่าตัดปิดกะโหลกศีรษะฯ ในปีงบประมาณ 2567 ของหน่วยบริการในเขตสุขภาพที่ 10 มีการให้บริการผู้ป่วยไปแล้ว จำนวน 82 ราย โดยสปสช.จ่ายชดเชยค่าบริการฯ จำนวน 1,552,700 บาท สำหรับรพ.ศรีสะเกษ ให้บริการผ่าตัดผู้ป่วยเป็นอันดับ 1 ในเขตสุขภาพที่ 10 คิดเป็นจำนวนให้บริการแล้ว 52 ครั้ง สปสช.จ่ายชดเชยการให้บริการ จำนวน 953,900 บาท รวมเป็นค่าอุปกรณ์ทั้งสิ้น จำนวน 1,007,000 บาท ซึ่งนอกจากจะช่วยผู้ป่วยได้เป็นจำนวนมากแล้ว ยังถือว่าเป็นการสนับสนุนนักวิจัยภายในประเทศที่คิดค้นนวัตกรรมของคนไทยได้สำเร็จอีกด้วย