29.2 C
Thailand
อังคาร, ธันวาคม 16, 2025
spot_img

กองทุนภูมิอากาศสีเขียวสนับสนุนไทยกว่า 4 พันล้านบาทเดินหน้าปรับเปลี่ยนวิถีการปลูกข้าวรับมือภาวะโลกร้อน

กรุงเทพ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568ประเทศไทยเดินหน้าปฏิรูปภาคการปลูกข้าวด้วยเงินทุนสนับสนุนรวม 118 ล้านยูโร คิดเป็นเงินไทยประมาณ 4.181 พันล้านบาท ภายใต้โครงการเพิ่มศักยภาพการปลูกข้าวที่เท่าทันต่อภูมิอากาศ(Thai Rice: Strengthening Climate-Smart Rice FarmingProject) มุ่งส่งเสริมศักยภาพเกษตรกรไทย 253,400 รายให้สามารถรูปแบบการปลูกข้าวที่เท่าทันต่อภูมิอากาศมาปรับใช้ พร้อมตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก2.44 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าภายในปีพ.ศ. 2571

โครงการเพิ่มศักยภาพการปลูกข้าวที่เท่าทันต่อภูมิอากาศประสานความร่วมมือจากหลายภาคส่วน โดยได้รับทุนสนับสนุนจาก กองทุนภูมิ อากาศสีเขียว กระทรวงเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนาแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี (BMZ) ผ่านโครงการdeveloPPP และทุนสมทบจากพันธมิตรจากภาคเอกชนในระดับนานาชาติ ได้แก่ เอโบรฟู้ดส์ (Ebro Foods) มาร์ส ฟู้ด (Mars Food) โอแลม อะกริ(Olam Agri) และเป๊ปซี่โค (PepsiCo)นอกจากนี้ยังผนึกความร่วมมือจากหลากหลายหน่วยงานเช่น กรมการข้าวและกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงกษตรและสหกรณ์สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(สผ.) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)สถาบันวิจัยข้าวระหว่างประเทศ (IRRI) และองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ)

โครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อปรับเปลี่ยนวิถีการปลูกข้าวในประเทศไทยไปสู่การปลูกข้าววิถีใหม่ผ่านการนำเทคโนโลยีทางการเกษตรที่ เท่าทันต่อภูมิอากาศ (Climate-Smart Agriculture) มาปรับใช้เพื่อยึดถือเป็นแนวทางในการปลูกข้าว โดยคาดการณ์ว่าแนวทางนี้จะช่วย ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพิ่มผลผลิตทางการเกษตร เพิ่มรายได้และพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกร และส่งเสริมความเข้มแข็ง ของระบบนิเวศการตลาดในภาคการปลูกข้าว ในระยะเวลาการดำเนินโครงการ 5 ปี คือตั้งแต่พ.ศ. 2567 – 2571

โครงการนี้ยังมุ่งหวังส่งเสริมให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวสามารถเข้าถึงและนำ 10 เทคโนโลยีการเกษตรที่เท่าทันต่อภูมิอากาศมาปรับใช้กับการจัดการพื้นที่นาและพื้นที่เกษตรของตนได้แก่ การจัดการน้ำระดับแปลงนา การปรับระดับพื้นที่นาด้วยระบบเลเซอร์ การจัดการน้ำแบบเปียกสลับแห้ง การจัดการฟางและตอซัง การจัดการธาตุอาหารในนาข้าว การใช้พันธุ์ข้าวที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่และสภาพภูมิอากาศการหว่านหรือหยอดข้าวแห้ง การจัดการศัตรูพืชแบบผสมผสาน ระบบการปลูกพืชที่มีข้าวเป็นพืชหลักและการใช้ข้อมูลพยากรณ์ อากาศสำหรับการเพาะปลูก เทคโนโลยีเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพผลผลิต ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ต่ยังเสริมศักยภาพ ในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศได้อย่างยั่งยืน ผ่านการส่งเสริมการเกษตร ตลอดจนการเข้าถึงช่องทางการสนับสนุนทางการเงิน เพื่อประโยชนต่อทั้งเกษตรกรรายย่อย ครัวเรือน ชุมชนและภาคส่วนการปลูกข้าวไทยในระยะยาว

งานเปิดตัวโครงการในครั้งนี้ จัดขึ้นที่โรงแรมอีสติน แกรนด์พญาไทภายใต้แนวคิด “Rice is More: More Vision, More Action, More People Benefitting” มุ่งเน้นการส่งเสริมความร่วมมือและสร้างพลังขับเคลื่อนร่วมกัน เพื่อขยายแนวทางกาประยุกต์ใช้การเกษตรที่เท่าทัน ต่อภูมิอากาศให้ครอบคลุมพื้นที่ปลูกข้าวหลักทั่วประเทศ นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมงาน จากภาคส่วนต่างได้ร่วมแลกเปลี่ยนแนวคิด ผ่านการเสวนาเชิงนโยบาย รวมถึงโอกาสการลงทุนในภาคการผลิตข้าวของไทย เพื่อให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในภาคการปลูกข้าวไทย ได้มารวมตัวและเสริมสร้างความร่วมมืออันเป็นหนึ่งเดียวกัน กิจกรรมครั้งนี้ยังเป็นเวทีกำหนดวิสัยทัศน์ละเป้าหมายของทุกภาคส่วน เพื่อวางแผนการดำเนินงานเชิงลึกในพื้นที่21 จังหวัดของโครงการ ซึ่งเป็นพื้นที่ปลูกข้าวหลักของประเทศไทย มีผู้เข้าร่วมจากภาคส่วนต่างที่เกี่ยวข้องกับการปลูกข้าว ประกอบไปด้วยตัวแทนจากภาครัฐ ภาคเอกชน ตัวแทนเกษตรกร และสถาบันวิจัยประมาณ 200 ค

ดร.แอ็นสท์ ไรเชิล เอกอัครราชทูตสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีประจำประเทศไทยกล่าวเปิดงาน พร้อมเน้นย้ำถึงความสำคัญของ ความร่วมมือในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ วันนี้ผมยินดีที่ได้เห็นรัฐบาลไทย องค์กรภาคีระหว่างประเทศ ภาคเอกชน และตัวแทนเกษตรกรได้มารวมตัวกันภายใต้วิสัยทัศน์เดียวกันไม่มีหน่วยงานใด ที่จะขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงนี้ ได้เพียงลำพัง การจะบรรลุเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่และนำประโยชน์มาสู่ทั้งผู้คนและสิ่งแวดล้อมได้ จำเป็นต้องอาศัยแนวทางการแก้ปัญหาที่มาจากความร่วมมือ การแลกเปลี่ยนความรู้และความมุ่งมั่นที่จะทำตามเป้าหมายในระยะยาวร่วมกัน

นายอานนท์ นนทรีย์ รองอธิบดีกรมการข้าว กล่าวในช่วงปาฐกถาพิเศษถึงแนวคิด “Rice is More” ที่สะท้อนความมุ่งมั่นของโครงการในการยกระดับผลผลิตข้าวและคุณภาพชีวิตเกษตรกร สร้างความเข้มแข็งให้กับระบบนิเวศทางการตลาดของข้าวไทยว่า Rice is More คือวิสัยทัศน์ของการทำให้ข้าวไทยก้าวไปข้างหน้ามากกว่าเดิม ข้าวไม่ได้เป็นเพียงแค่พืชเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการ สร้างอนาคตที่ยั่งยืน เราต้องทำให้ข้าวไทยเป็นตัวแทนของคุณภาพมาตรฐาน และนวัตกรรม เป็นโอกาสทางเศรษฐกิจสำหรับเกษตรกรไทย ที่พร้อมแข่งขันในตลาดโลก

ดร.ทีโม เมนนิเคน ผู้อำนวยการ GIZ ประจำประเทศไทยกล่าวว่าความร่วมมือกับหน่วยงานภาคีทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศจะทำให้วิถีการปลูกข้าวที่เท่าทันต่อภูมิอากาศได้รับการยอมรับ และนำมาใช้เป็นแนวทางปฏิบัติหลักของภาคการปลูกข้าว เพื่อเพิ่มรายได้ให้ เกษตรกรควบคู่ไปกับการป้องกันภาวะโลกร้อนในอนาคตต่อไป

##########

กี่ยวกับองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ)

องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมันหรือ GIZ (จีไอแซด) เป็นองค์กรของรัฐบาลเยอรมนีที่ดำเนินงานด้านความร่วมมือระหว่าง ประเทศเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนซึ่งมุ่งทำงานเพื่อออกแบบอนาคตที่น่าอยู่สำหรับผู้คนทั่วโลกด้วยประสบการณ์กว่า50 ปี ในการดำเนินงานใน หลากหลาย สาขา GIZ ทำงานร่วมกับภาคธุรกิจภาคประชาสังคม และสถาบันวิจัยมากมาย เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านนโยบายการพัฒนาในสาขา   ต่าง ตลอดจนสนับสนุนกิจกรรมในการดำเนินงานให้บรรลุผลสำเร็จ

GIZ ดำเนินโครงการในประเทศไทยไปแล้วกว่า 500 โครงการเพื่อส่งเสริมประเทศไทยในการบรรลุเป้าหมายด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนตั้งแต่ พ.ศ. 2502 ซึ่งเป็นปีที่ความร่วมมือไทย-เยอรมันเริ่มต้นอย่างเป็นทางการจากการก่อตั้งโรงเรียนอาชีวศึกษาไทย-เยอรมัน โดยความร่วมมือไทย-เยอรมันดำเนินงาน ตามวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน(Agenda 2023) รวมถึงเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) และสนธิสัญญาในระดับนานาชาติ

สำนักงานใหญ่ของ GIZ ตั้งอยู่ที่เมืองบอนน์และเมืองเอชบอร์นสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี โดยในปี พ.ศ. 2566 GIZ ได้รับเงินสนับสนุน การดำเนินงานกว่า 1.52 แสนล้านบาท (4 พันล้านยูโร) GIZ ดำเนินงานอยู่ในประเทศต่าง มากกว่า 120 ประเทศทั่วโลกและมีพนักงานประมาณ 25,634 คน ซึ่งร้อยละ 70 เป็นคนในประเทศ  

บทความที่เกี่ยวข้อง
- Advertisment -spot_img

บทความยอดนิยม

- Advertisment -spot_img

ความคิดเห็นล่าสุด

- Advertisment -spot_img